วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บทที่ 2


เอกสารที่เกี่ยวข้อง

คลื่นวิทยุ
1.ช่วงความถี่อยู่ในช่วง 106-109เฮิรตซ์
2.คลื่นวิทยุความถี่ตั้งแต่ 530-1600 กิโลเฮิรตซ์ สถานีวิทยุจะส่งออกอากาศในระบบ A.M.
3.ช่วงความถี่ที่ต่ำกว่า 530-1600 กิโลเฮิรตซ์ นี้เรียกว่าคลื่นยาวและความถี่ที่สูงกว่านี้เรียกว่า คลื่นสั้น
4.ช่วงความถี่จาก 88-108 เมกะเฮิรตซ์ เป็นการส่งคลื่นแบบ F.M.
5.สัญญาณคลื่นวิทยุที่ส่งออกจากสถานีส่งไปถึงเครื่องรับมี2ชนิดคือ
1) คลื่นพื้นดิน หมายถึง คลื่นวิทยุที่ส่งออกจากสถานีส่งไปถึงเครื่องรับวิทยุโดยตรง(มีทั้งระบบA.M.และF.M.)
2)คลื่นฟ้า หมายถึง คลื่นวิทยุที่ส่งขึ้นไปสะท้อนในบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์แล้วกลับมายังเครื่องรับวิทยุ(มีในระบบA.M.ส่วนF.M.ไม่มีเพราะคลื่น F.M.ทะลุชั้นบรรยากาศชั้นนี้ได้)
6.คลื่นวิทยุสามารถผลิตขึ้นเองได้ โดยอาศัยวงจรวิทยุของหลอดสุญญากาศหรือทรานซิสเตอร์                7.ไม่สามารถทะลุผ่านโลหะ หรือสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่ แต่สามารถอ้อมผ่านสิ่งกีดขวางใกล้เคียงกับความยาวคลื่นได้
8.สามารถสะท้อนบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ได้                           
9.เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว3x108เมตร/วินาที




คลื่นโทรทัศน์และไมโครเวฟ
1.ความถี่อยู่ในช่วง 108 - 1012 เฮิรตซ์
2.เครื่องส่งโทรทัศน์ต้องใช้กล้องถ่ายโทรทัศน์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนภาพให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าได้ในอัตราภาพละ วินาที ใช้คลื่นวิทยุที่มีความถี่สูง
3.ภาพส่งไปในระบบเอเอ็ม (A.M.)
4.เสียงส่งไปในระบบเอฟเอ็ม(F.M.)
5.หลอดส่งภาพทำหน้าที่สร้างสัญญาณไฟฟ้าของภาพมีส่วนประกอบสำคัญดังนี้
        -แผนรับภาพ       -แผ่นรับสัญญาณ     -ปืนอิเล็กตรอน   -วงแหวนโลหะ
6.เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ รับคลื่นวิทยุจากเครื่องส่งแล้วจะแยกสัญญาณไฟฟ้าของภาพส่งไปยังหลอดภาพเพื่อเปลี่ยนเป็นภาพได้ในอัตราภาพละ วินาที
7.เครื่องรับโทรทัศน์ระบบ625เส้นเป็นระบบสากล
8.เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์จะมีหลอดภาพ ซึ่งภายในมีเครื่องกำเนิดอิเล็กตรอนจะถูกยิงออกไปบนจอภาพตามสัญญาณไฟ้ฟ้าที่ได้รับ สำหรับโทรทัศน์สีจะมีแหล่งกำเนิดอิเล็กตรอน3ชุด ใช้ควบคุมความเข้มสัญญาณสีแดง สีน้ำเงินและสีเขียว





เรดาร์(RADAR=Radio detection and ranging)
1.เรดาร์ เป็นการส่งคลื่นไมโครเวฟออกไปเป็นช่วงๆ แล้วรับสัญญาณที่สะท้อนกลับมาเข้าเครื่องรับปรากฎให้เห็นบนจอภาพ ซึ่งจะบอกชนิดและระยะห่างของวัตถุที่สะท้อนได้
2.สายอากาศของเรดาร์มีลักษณะเป็นจานโค้งรูปพาราโพลา หมุนได้รอบแกนทำหน้าที่ส่งและรับคลื่นไมโครเวฟเหตุที่นิยมใช่คลื่นไมโครเวฟในระบบเรดาร์เพราะคลื่นไมโครเวฟมีความถี่สูงสามารถทะลุบรรยากาศ และสะท้อนที่พิววัตถุทึบได้ดี
3.จอรับคลื่นภาพ ลักษณะเป็นวงกลมมีเส้นบอกระยะทางเป็นวงรอบศูนย์กลาง และมีทิศทางกำกับภาพที่ปรากฎบนหน้าจอ โดยจะบอกตำแหน่งระยะห่างและทิศทางของวัตถุจากจานสายอากาศด้วย
4.ประโยนช์ของเรดาร์มี
1)ใช้ในการคมนาคม ควบคุมการจราจรทางอากาศ สนามบิน การเดินเรือ นำทางเรือเมื่อหมอกลงจัด
2)ใช้ในกรมอุตุนิยมวิทยา เช่น ใช้ตรวจหาตำแหน่ง และทิศทางของลมพายุ พยากรณ์อากาศ
3)ใช้ในทางการทหาร ใช้ตรวจหาเครื่องบินข้าศึกเพื่อออกสกัดหรือเตือนภัยทางอากาศ และตรวจการเคลื่อนไหวของศัตรู
4)ด้านการประมง เช่น ใช้ตรวจหาฝูงปลา



           

             รังสีอินฟราเรด
1.มีความถี่ในช่วง 1011-1014 เฮิรตซ์ ความยาวคลื่นในช่วง10-3-10-6 เมตร
2.วัตถุร้อนจะแผ่รังสีอินฟราเรดที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่า 10-4 เมตรออกมา
3.ประสาทสัมผัสของมนุษย์สามารถรับรังสีอินฟราเรดได้
4.ฟิล์มถ่ายรูปบางชนิดสามารถถ่ายรูปได้ โดยอาศัยรังสีอินฟราเรดได้
5.สิ่งมีชีวิตจะแผ่รังสีอินฟราเรดออกมาตลอดเวลา
6.สามารถทะลุผ่านก้อนเมฆหมอกที่หนาเกินกว่าแสงธรรมดาจะผ่านได้จึงอาศัยสมบัตินี้ถ่ายภาพพื้นโลกจากดาวเทียม เพื่อศึกษาการแปรสภาพของป่าไม้หรือการเคลื่อนย้ายฝูงสัตว์ของฝูงสัตว์
7.รังสีอินฟราเรดเป็นตัวนำคำสั่งจากอุปกรณ์ควบคุมไปยังเครื่องรับที่เรียกว่า รีโมทคอนโทรล หรือการควบคุมระยะไกล สำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องรับโทรทัศน์ เช่น การปิด-เปิด การเคลื่อนย้ายสถานี
8.ใช้ในทางทหารนำไปใช้กับการควบคุมอาวุธนำวิถีเคลื่อนที่ไปยังเป้าได้อย่างถูกต้อง
9.แหล่งกำเนิดของรังสีอินฟราเรด ได้จากแหล่งกำเนิดความร้อนทุกชนิด เช่น ดวงอาทิตย์ หลอดไฟ ตะเกียง เป็นต้น
10.ใช้ในวงการแพทย์ เช่น การฆ่าเชื้อโรค กายภาพบำบัด การตวรจวินิฉัยโรค
11.ใช้ในวงการอุตสาหกรรม เช่น การผลิตรถยนต์ การอบสีรถ การฆ่าเชื้อโรคก่อนบรรจุใส่ภาชนะ

แสง
1.มีความถี่ประมาน 1014 เฮิรตซ์ ความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 4x10-7- 7x10-7 เมตร
2.ประสาทตาของมนุษย์ไวต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าช่วงนี้มาก
3.วัตถุที่มีอุณหภูมิสูงมากๆ จะเปล่งแสงได้ เช่น ไส้หลอดไฟฟ้า ดวงอาทิตย์
4.เครื่องกำเนิดเลเซอร์เป็นแหล่งกำเนิดแสงอาพันธ์ที่ให้แสงได้ โดยไม่อาศัยความร้อน เช่น วงการแพทย์ ใช้เลเซอร์ผ่าตัดนัยน์ตา


รังสีอัตราไวโอเลต
1.ความถี่อยู่ในช่วง1015-1018เฮิรตซ์
2.รังสีนี้เป็นตัวการทำให้เกิดประจุอิสระ และไอออนในบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์
3.ทำให้สารเรืองแสง เกิดการเรืองแสง
4.สามารถทะลุผ่านวัตถุบางๆ บางชนิดได้ เช่น เสื้อผ้า แผ่นพลาสติก
5.ทำลายเซลล์เล็กๆได้ เช่น เชื้อโรค
6.ประโยชน์ของรังสีอัลตราไวโอเลต
-ใช่ในการพิสูจน์เอกสาร ตรวจสอบลายเซ็น
-ช่วยร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี
-ใช้ตรวจสอบคุณภาพอาหารว่าเสียหรือไม่
-ใช้ในการแสดงบนเวที
-ใช้ตรวจสอบสารเคมี




รังสีเอกซ์(X-ray)
1.มีความถี่อยู่ในช่วง 1016-1022 เฮิรตซ์ หรือความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 10-8-10-13 เมตร
2.แหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ คือ
   -ดวงอาทิตย์   -หลอดรังสีเอกซ์   -เครื่องรับโทรทัศน์
 3.คุณสมบัติของรังสีเอกซ์
    -มีอำนาจทะลุทะลวงสูง   -ไม่เบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้า และสนามแม่เหล็ก
    -ทำให้เกิดอากาศรอบๆ แตกตัวเป็นไอออนได้  -ทำปฏิกิริยากับฟิล์มถ่ายรูปเหมือนกับแสง
4.ประโยชน์ของรังสีเอกซ์
    -ใช้ในวงการแพทย์ ตรวจวินิฉัยโรค ตลอดจนรักษาโรคมะเร็ง
    -ใช้ในวงการอุตสาหกรรม และการก่อสร้าง เพื่อตรวงสอบรูรั่วหรือรอยร้าวต่างๆ
    -ใช้ตรวจสอบสิ่งแปลกปลอม หรืออาวุธในกระเป๋าหรือหีบห่อต่างๆ
    -ใช้ตรวจสอบวัตถุโบราณว่ามีอายุยาวนานเท่าไร


รังสีแกมมา
1.มีความถี่สูงกว่ารังสีเอกซ์
2.แหล่งกำเนิดของรังสีแกมมา
    -เกิดจากการสลายตัวของนิวเคลียสของธาตุกำมันตรังสี
    -รังสีคอสมิกที่มาจากนอกโลก จะมีรังสีแกมมาอยู่ด้วย
    -การแผ่รังสีของอนุภาค ประจุไฟฟ้าที่ถูกเร่งในเครื่องเร่งอนุภาคก็ทำให้เกิดรังสีแกมมาได้
3.คุณสมบัติของรังสีแกมมา
    -ไม่เบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้า และในสนามแม่เหล็ก
    -ทำให้สารเรืองแสง เกิดการเรืองแสง
    -ทำปฏิกิริยากับฟิล์มถ่ายรูป และฟิล์มที่ไม่ไวต่อแสง
4.ประโยชน์ของรังสีแกมมา
    -ใช้ในวงการแพทย์ รักษาโรคมะเร็ง
    -ใช้ในวงการเกษตร ศึกษาโรคพืชต่างๆ การดุดซึมแร่ธาตุของรากพืช การสังเคราะห์แสง
      การเปลี่ยนแปลงพันธุ์พืช
    -อาบพวกผลไม้ต่างๆ ตลอดผลิตผลอื่นๆ ให้เก็บรักษาไว้ได้นาน